วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

สินค้า OTOP จ .สุรินทร์

 งานจัดสานตะกร้า,โมบายพลาสติก  จังหวัดสุรินทร์

สินค้า OTOP จังหวัดสุรินทร์ มีสินค้ามากมายและก็ได้เห็นโมบายที่ทำจากพลาสติกที่ไม่ใช้แล้วเขาทำได้สวยมาก ก็เลยซื้อมา 2 พวง


โมบายผลิตจากเส้นพลาสติก
 ดูๆแล้วก็ทำยากเหมือนกันนะ      


นอกจากโมบายแล้วยังมีตะกร้าที่ทำจากพลาสติก กระเป๋า ให้แลือกอีกมากมาย

                                                                                                                                                                                                                                                           











ชื่อร้านค้า                                    :    กลุ่มจักสานตะกร้าจากเส้นพลาสติก


เจ้าของร้าน/หัวหน้ากลุ่ม                 :     นาง ภาวดี   ตะคอนรัมย์


ที่อยู่                                          :      99 หมู่ 10 ต.บัวเชด  อ.บัวเชด จ.สุรินทร์


สินค้าที่จัดจำหน่าย                        :     ตะกร้าใส่ของ   โมบายพลาสติก   กระเป๋าพลาสติก


เบอร์โทรติดต่อ                             :     081-2656936





ความเป็นมาโครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์

นห้วงเวลาที่ประเทศชาติ กำลังเผชิญปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ และประชาชน ทุกระดับ ประสบปัญหาต่าง ๆปัญหาหนึ่งที่ประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศถูก รุมเร้าคือปัญหาความยากจน รัฐบาลจึงได้ประกาศสงครามกับความยากจน โดยได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้าโดยรัฐพร้อมที่จะเข้า
ช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่ายและอินเตอร์เน็ตเพื่อ  ส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ด้วยการนำทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการ
ของตลาด ทั้งในและต่างประเทศและได้กำหนดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย  คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ พ.ศ. 2544 ประกาศ  ณ วันที่ 7 กันยายน 2544 ขึ้น โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล  หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ หรือเรียกโดยย่อว่า กอ.นตผ ซึ่งฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้มอบ หมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) เป็นประธานกรรมการ และให้
คณะกรรมการ กอ.นตผ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทการดำเนินงาน“หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” กำหนดมาตรฐานและ หลักเกณฑ์การคัดเลือกและขึ้นบัญชีผลิตภัณฑ์ดีเด่นของตำบลรวมทั้งสนับสนุนให้การ
ดำเนินงานเป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บท อย่างมีประสิทธิภาพ

ปรัชญาของ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
“หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” เป็นแนวทางประการหนึ่ง ที่จะสร้างความเจริญแก่ชุมชน ให้สามารถยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยการผลิตหรือจัดการ ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ให้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของ ตนเองที่ สอดคล้องกับวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น สามารถจำหน่ายในตลาดทั้งภายใน  และต่างประเทศ โดยมีหลักการ พื้นฐาน 3 ประการ คือ


1) ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล (Local Yet Global)

2) พึ่งตนเองและคิดอย่างสร้างสรรค์ (Self-Reliance-Creativity)

3) การสร้างทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)
ผลิตภัณฑ์ ไม่ได้หมายถึงตัวสินค้าเพียงอย่างเดียวแต่เป็นกระบวนการทางความคิด  รวมถึงการบริการ การดูแลการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การรักษา  ภูมิปัญญาไทย การท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี การต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีจุดเด่น จุดขายที่รู้จักกัน แพร่หลายไปทั่วประเทศและทั่วโลก
วัตถุประสงค์ของหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
จากนโยบายของรัฐบาล ที่แถลงต่อรัฐสภา และตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ พ.ศ. 2544
การดำเนินงานตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ

1) สร้างงาน สร้างรายได้ แก่ชุมชน
2) สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน ให้สามารถคิดเอง ทำเอง ในการพัฒนาท้องถิ่น
3) ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น
4) ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของชุมชน ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยสอดคล้องกับ
วิถีชีวิตและวัฒนธรรมในท้องถิ่น
























วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

งานช้างสุรินทร์ 2555

Surin Elephant

 

 



งานช้างสุรินทร์ปีนี้ 2555 เชิญชวนทุกคนทุกท่านร่วมงานช้าง ดูการแสดงช้างและร่วมงานกาชาด พวกเราชาวสุรินทร์ยินดีต้อนรับ










ยินดีต้อนรับทุกท่าน


ความเป็นมาของงานแสดงช้างสุรินทร์

บริเวณตอนเหนือของจังหวัดสุรินทร์ในแถบตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม และตำบลนาหนองไผ่ อำเภอชุมพลบุรี เป็นถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองชาว “กวย” หรือ “ส่วย” นิยมเลี้ยวช้างมาแต่โบราณกาล เพื่อนำไปใช้ในงานและพิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะที่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดสุรินทร์ประมาณ ๕๘ กิโลเมตร ชาวบ้านนิยมเลี้ยงช้างไว้เป็นจำนวนมาก จนมีผู้รู้จักบ้านตากลางในนามของหมู่บ้านช้าง หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับลำน้ำมูลและลำน้ำชี เดิมพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า มีความอุดมสมบูรณ์มาก เมื่อ วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม ได้จัดงานแสดงช้างขึ้นที่บริเวณสนามบินเก่า อำเภอท่าตูม (ที่ตั้งโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน) เพื่อเฉลิมฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ในงานมีการแสดงขบวนแห่ช้าง การแข่งขันช้างวิ่งเร็ว การคล้องช้าง ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก มีการแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ทั้งทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ทำให้ชาวไทยและชาวต่างประเทศเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก ในปีต่อมา อสท.(ททท.) จึงได้เข้ามาให้การสนับสนุน โดยร่วมกำหนดรูปแบบของการแสดง และนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาชมการแสดง ใน ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้การจัดงานช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ สนับสนุน นายคำรณ สังขกร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น พิจารณาเห็นว่า การจัดงานที่อำเภอท่าตูมไม่สะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจึงได้ย้าย สถานที่จัดงานมาจัดงานที่สนามกีฬาจังหวัดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ ๔๘ 

 

 กำหนดการจัดงานช้างและงานกาชาด จังหวัดสุรินทร์ ประจำปี ๒๕๕๕ 

 

วันที่ 14 - 25 พฤศจิกายน 2555 ณ สนามกีฬาศรีณรงค์และสนามแสดงช้าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 

กิจกรรม  : 

 

 

16 พฤศจิกายน 2555            : พิธีต้อนรับและเลี้ยงอาหารช้างกว่า 250 เชือก

                                               : ชมการแสดง แสง สี เสียง ปราสาทพันปี  ศรีขรภูมิ

 

 

17-18  พฤศจิกายน 2555     : การแสดงของช้างที่ยิ่งใหญ่

 



 

 

 

นอก จากกิจกรรมงานช้างที่จัดขึ้น ยังมีสินค้าต่างๆมากมายทั้งของกินของใช้และเกมส์ต่างๆให้เลือกชมและเครื่อง เล่นต่างๆให้เลือกเล่นมากมายอาทิ เช่น

 

 

 

 

 





จับปลา

 

 

 

 

 

 

 



 

 




 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 รูปนี่เป็นเพียงงานเล็กๆน้อยๆถ้าอยากรู้ว่ามีเครื่องเล่นอะไรต้องมาสัมผัสด้วยตนเอง

  รู้ประวัติงานช้างแล้ว มารู้จักกับจังหวัดสุรินทร์กันเถอะ

 ประวัติจังหวัดสุรินทร์

จังหวัดสุรินทร์ได้รับการสันนิษฐานจาก นักประวัติศาสตร์ว่า พื้นที่อันเป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์มีชุมชนอาศัยอยู่เมื่อประมาณ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว พบหลักฐานการอยู่ของมนุษย์ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  ยุคโลหะตอนปลาย ซึ่งมีการใช้เครื่องมือเหล็กแล้ว ซึ่งยังปรากฏให้เห็นชุมชนโบราณกว่า 59 แห่ง จากสภาพภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตต่อเนื่องกับพื้นที่ที่เคยเป็นอาณาจักรขอม โบราณ ทำให้ชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ได้รับวัฒนธรรมขอมมาโดยตลอดตั้งแต่ในช่วงพุทธ ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง ไม่ปรากฏหลักฐานเด่นชัดที่แสดงถึงการอยู่อาศัยของชุมชนในสมัยต่อมา จนกระทั่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พ.ศ. 2260 จึงปรากฏร่องรอยขึ้นอีกครั้งหนึ่งในพงศาวดารอีสาน ชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ส่วยหรือกูย ซึ่งอาศัยอยู่แถบเมืองอัตปือแสนแป แคว้นจำปาศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนของไทย และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจับช้างป่ามาเลี้ยงไว้ใช้งาน พากันอพยพข้ามลำน้ำโขงมาสู่ฝั่งขวา โดยได้แยกย้ายกันไปตั้งชุมชนที่เมืองลีง (อ.จอมพระ) บ้านโคกลำดวน (อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ) บ้านอัจจะปะนึ่ง (อ.สังขะ) และบ้านกุดปะไท (อ.ศีขรภูมิ) ในปี พ.ศ. 2303 หัวหน้าชาวกูยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ได้ช่วยขุนนาง   จากราชสำนักคล้องช้างเผือกแตกโรง มาจากกรุงศรีอยุธยากลับไปได้ ต่อมาได้ส่งส่วยของป่าและรับราชการกับราชสำนัก จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และยกบ้านที่ปกครองขึ้นเป็นเมืองต่อมาในปี พ.ศ. 2306 หลวงสุรินทร์ภักดีหรือเชียงปุม หัวหน้าหมู่บ้านเมืองที
ได้ขอให้เจ้าเมือง พิมายกราบบังคมทูลขอพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์ย้ายหมู่บ้านจากบ้านเมืองที มาตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านคูประทาย ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน เนื่องจากเห็นว่าเป็นบริเวณที่มีชัยภูมิเหมาะสม มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบ 2 ชั้น มีน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบอาชีพและอยู่อาศัยต่อมาหลวงสุรินทร์ภักดี ได้กระทำความดีความชอบเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามริ นทร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกบ้านคูประทายเป็นเมืองประทายสมันต์และเลื่อน บรรดาศักดิ์หลวงสุรินทร์ภักดีเป็นพระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวางให้ เป็นเจ้าเมืองปกครอง ในปี พ.ศ. 2329 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์เป็นเมืองสุรินทร์ ตามสร้อยบรรดาศักดิ์เจ้าเมือง เมืองสุรินทร์มีเจ้าเมืองปกครองสืบเชื้อสายกันมารวม 11 คน จนถึงปี พ.ศ.2451 ได้มีการปรับปรุงระบบบริหารราชการแผ่นดิน  เป็นแบบเทศาภิบาลส่วนกลางจึงได้แต่งตั้งพระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม สุมานนท์) มาดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนแรก ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดคนปัจจุบัน   คือ นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร
 ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด คนที่
52







ตราประจำจังหวัดสุรินทร์
รูปพระอินทร์ทรงช้าง
ชื่อของจังหวัด เป็นคำสนธิของคำสองคำ คือ สุระ กับ อินทร
หมายถึง   พระอินทร์ผู้เก่งกล้าสามารถ
ตราจังหวัด กำหนดสัญญลักษณ์ประกอบด้วย พระอินทร์ ประทับขัดสมาธิบนหลังช้าง หัตถ์ขวาทรงตรี หัตถ์ซ้ายทรงพระแสงขอช้าง มีภาพปราสาทสลักปรักหักพังเป็นฉากเบื้องหลัง



 

ธงประจำจังหวัดสุรินทร์

 

  

ดอกไม้ประจำจังหวัด 

"ดอกกันเกรา"


ชื่อวิทยาศาสตร์ Fagraea fragrans Roxb.

 การกำหนดให้ไม้ชนิดใดเป็นไม้ประจำจังหวัด เป็นเรื่องของจังหวัดนั้นๆ จะเป็นผู้พิจารณา  ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือแจ้งให้ทราบว่า การกำหนดชนิดต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ประจำหน่วยงานสังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีการกำหนดเฉพาะในระดับจังหวัด สำหรับจังหวัดสุรินทร์ กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดให้ ต้นกันเกรา เป็นต้นไม้ประจำจังหวัด ดอกกันเกรา เป็นดอกไม้ประจำจังหวัด 

          ซึ่งในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ มีต้นกันเกรา ขึ้นกระจายอยู่โดยทั่วไป ดอกกันเกราก็จะบานส่งกลิ่นหอมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนชาวสุรินทร์ จะนำดอกกันเกรามาร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอ

 

คำขวัญประจำจังหวัด สุรินทร์

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่    ผ้าใหมงามประคำสวย  ร่ำรวยปราสาท   

ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม  งามพร้อมวัฒนธรรม







































วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

เด็กรักป่า


 วันอังคารที่ 4 กันยายน 2555 พวกเราได้ไปเดินงานมหกรรมตลาดนัดศิลปะ ที่ป่าแสลงพันธุ์ จ.สุรินทร์ 
พวกเราแทบไม่รู้เลยว่ามีที่นี่เป็นศูนย์เรียนรู้ศิลปะธรรมชาติและเทคโนโลยี เพราะว่าศูนย์นี้จะอยู่ลึกและรอบๆก็จะเป็นป่า อาจารย์ที่ปรึกษาที่ชวนพวกเราไปบอกว่า ถ้าไม่มีศูนย์แห่งนี้ พวกเราก็จะไม่มีป่าให้ศึกษา เข้ามาก็เห็นเด็กๆจากโรงเรียนต่างๆ เข้ามาศึกษาหาความรู้และเด็กๆที่นี่ น่ารักทั้งนั้นเลยคะ
 จากนั้นพวกเราก็เดินเข้าไปในงานก็เห็นภูมิปัญญาต่างๆ ที่ไม่เคยเห็น

เก้าอี้สานจากขวดน้ำที่ไม่ใช้แล้ว


และนี่ก็คือเก้าอี้ที่ทำจากขวดพลาสติกที่ไม่ใช้แล้วนำมาสานเป็นเก้าอี้ เป็นผลงานสร้างสรรค์ของเด็กๆคะ



 เก้าอี้ตัวนี้นั่งเล่นได้ ทนทาน รับรองได้

 และบ้านตันไม้เป็นจุดชมวิวที่หนึ่ง



  
ทางขึ้นบ้านต้นไม้


 ที่ตรงนี้เขาให้ขึ้นจำกัด 5 คนเองนะ เพื่อนๆ 5555

เมื่อเพื่อนๆลงมาจากต้นไม้แล้วก็ถึงเวลา เข้าป่า ไปศึกษา ธรรมชาติกัน

จะเข้าป่าแล้วขอถ่ายรูปสักนิดนึง






 เอ้า!!!มองกล้องหน่อย






น่ารักกัน ทั้งนั้น





เท่และน่ารัก ทั้งนั้นเลย



 เข้าป่าแล้วเราก็เห็นผลนี้ ภาษาเขมรเขาเรียกว่า  ตุมกรีล กินได้ มีผลสีแดงรสชาติเปรี้ยวๆ ถึงผลออกจะน่ากลัวไปหน่อยแต่ขอบอก กินแล้วติดใจคะ (อร่อย ถ้าได้จิ้มกับน้ำพริกเกลือ)


ผล ตุมกรีล



 เข้าป่าไปได้เจออะไรต่างๆมากมายมีผลไม้ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนและป่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธ์และสัตว์ นานาชนิด
                                                                 
                                                                             
เห็ดโคน   
ผลอะไรไม่รู้แต่เราเรียกว่า    องุ่นป่า




 ปลวกกกกก















 และต้นนี้คะ ต้นตูมกาเป็นต้นที่เหลืออยู่เพียงต้นเดียวในป่าแสลงพันธุ์แห่งนี้ ต้นเป็นลักษณะลายแปลกๆ แต่มันมีตำนานว่าเป็นต้นไม้ที่ชุบชีวิตจากคนตายแล้วฟื้นให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์จิงๆๆ


ต้น ตูมกา 

 

และที่นี่เมื่อเดินทางเข้ามาก็จะเห็น ศาล ตายาย ทุกคนเข้าไปกราบขอพรได้ ท่านศักสิทธิ์จิงๆนะ

ศาล ตายาย ที่ป่าแสลงพันธุ์


เดินป่าที่นี่ก็ไกลประมาณ 2-3 กิโลเมตร ทำเอาพวกเราหมดแรงกันเลยทีเดียว !!!!!!





วันแม่แห่งชาติ 2555



"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยามนอนแปล....." เป็นเสียงเเพลงที่เปิดในงานวันแม่ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟัง และทุกๆๆครั้งจะระลึกถึง และคิดถึงแม่ทุกครั้งและได้นำดอกมะลิไปกราบไหว้ในวันแม่ ครั้งแรกๆก็ไม่กล้า กลัวๆ อายๆ แต่พอก้มลงกราบทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า อบอุ่นมาก
โดยภาพนี้เป็นภาพที่ข้าพเจ้าประทับใจมากที่สุด




เป็นภาพที่ งดงามที่สุด

ดอกมะลิแทนวันแม่   
สุดแน่แท้คือสีขาว
สว่างไสวดุจดวงดาว
เป็นตัวเทนใน วันแม่..............
หมายถึงดอกมะลิเป็นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ก็เหมือนกับแม่รักลูกดั่งแก้วตาดวงใจ ชี้แนะนำแนวทางให้ลูกทำไปในทางที่ดี



ความเป็นมาของวันแม่ แห่งชาติ

งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515
แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ


ทำไมถึงต้องเป็นดอกมะลิ????


"คำว่าแม่"นั้น มีความหมายในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า "แม่ เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้"
ประเทศไทยเริ่มจัดงานวันแม่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน ต่อมามีการเปลี่ยนกำหนดงานวันแม่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนโดยให้ถือว่า วันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก คนไทยถือเป็นดอกไม้มงคล นิยมเอาดอกมะลิมาร้อยเป็นมาลัยเพื่อบูชาพระ และดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลายมะลิ นอกจากนี้ มะลิดอกแห้งก็ยังสามารถใช้ปรุงเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี
"ดอกมะลิ" จึงกลายสัญลักษณ์หนึ่งที่มาพร้อมกับเทศกาล "วันแม่" ซึ่งเป็นวันที่บรรดาลูกให้ความสำคัญกับผู้ที่ให้กำเนิดเป็นพิเศษ ^^


 

 

 

 

 

 

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก

 


                                           เป็นเพลงที่ฟังทีไร ร้องให้ทุกทีเลยคะ

 

ขอให้มีความสุขในวันแม่กันทุกคนนะคะ

 



















วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

สิ่งที่ประทับใจ ในปี 2555






สิ่งที่ดิฉันประทับใจมากที่สุดในปีนี้คือ มิตรภาพ ของความเป็นเพื่อน เมื่อไม่นานดิฉันและเพื่อนๆช่วยกันพัฒนารักษาความสะอาดในคณะที่เรียน พวกเราได้ช่วยกันร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ได้ทั้งรอยยิ้มและความสนุกสนาน  และอาจารย์ที่ปรึกษายังช่วยสอดส่องดูแลจนงานสำเร็จบรรลุล่วงไปด้วยดี

พวกเราพร้อมแล้ว!!!!


ช่วยกันทิ้งขยะถูกถังนะ หนูๆๆ เป็นแบบอย่างที่ดีต่อชนรุ่นหลังนะจ๊





และวันพุธ ที่12 กันยายน 2555ได้รวมเงินกันไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ของ พี่เล็ก และ เจเจ ที่ร้านเนื้อย่างทุกคนได้เซอร์ไพรส์วันเกิดของพวกเขา และทุกคนสนุกสนานไปกับการกินเนื้อย่างอย่างเต็มที่ ดิฉันมีความสุขมากที่ได้มาอยู่ร่วมห้องกับห้องนี้ ถ้าใครมีอะไรก็คอยช่วยเหลือกันซึ่งกันและกัน พวกเราจะร่วมกิจกรรมด้วยกันทำให้พวกเรารู้จักกันมากขึ้น


เป็นเค้กที่น่ากินที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย





เจ้าของวันเิกิดในวันนี้!!!!!


 
เพลง วัน เดือน ปี 




และสุดท้ายมิตรภาพสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันประทับใจมากที่สุดและดิฉันจะไม่ลืมจะจดจำตลอดไปค่ะ